

เพจ อีจัน บันเทิง เปิดใจ อ.ศัลยา และเรื่องราวการเขียนบทในละคร บุพเพสันนิวาส ยอมรับตนเองไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ ก่อนเขียนบทต้องค้นคว้าจากตำราต้นฉบับที่ไม่ใช่ Google
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในชั่วโมงนี้ ละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ถือเป็นละครดังที่มาแรงแซงทุกช่อง ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ นอกเหนือไปจากเหล่านักแสดงที่เล่นออกมาได้อย่างสนุกครบรสแล้ว สำหรับบทละครภายใต้เข็มทิศการเขียนบทของ อ.ศัลยา ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ส่งเสริมให้ละครเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จอย่างงดงามเช่นกัน

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561 เฟซบุ๊ก อีจัน บันเทิง ได้มาพูดคุยกับ อ.ศัลยา อย่างเป็นกันเอง โดยที่ อ.ศัลยา เล่าว่า ตนจบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นจึงมาสอนที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อยู่ 33 ปี ซึ่งในระหว่างนี้ ตนและญาติคือคุณ ไพรัช สังวริบุตร ได้มีการพูดคุยกัน และมีการชักชวนให้ตนมาเขียนบทละคร โดยที่ อ.ศัลยา มีผลงานดัง ๆ อย่าง ดอกส้มสีทอง, ปู่โสมเฝ้าทรัพย์, ข้ามสีทันดร, รากนครา, แก้วหน้าม้า ฯลฯ และมีผลงานเขียนบทละครเกือบ 100 เรื่อง
ทั้งนี้ การเขียนนิยายและเขียนบทละครนั้น จะไม่เหมือนกัน เมื่อตนได้รับหนังสือมา จะอ่านก่อน 1 ครั้ง เพื่อดูโครงเรื่องทั้งหมด จากนั้นจึงอ่านละเอียดอีกครั้ง จะมีการจดข้อความเอาไว้ แล้วมาแบ่งบทออกมาเป็นเหตุการณ์ต่าง ๆ เนื่องจากเหตุการณ์ในนิยาย จะไม่เล่าเรียงตามลำดับเหมือนเหตุการณ์ในละคร และเมื่อได้เหตุการณ์ทุกอย่างมา จึงนำมาเรียบเรียง

การเขียนบทละครนั้น ตนต้องเป็นตัวละครทุกตัว พูดเหมือนตัวละคร คิดเหมือนตัวละคร และต้องมีภาพนั้นในหัวอยู่แล้ว ก่อนที่ตนจะเขียนละคร
ในส่วนของการเขียนบทละครเรื่อง บุพเพสันนิวาสนั้น รอมแพงสามารถหาข้อมูลได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งด้านกุ๊กกิ๊กน่ารักของการะเกดเอง ไม่เป็นปัญหาเลย เราเอามาได้เลย แต่ในเรื่องประวัติศาสตร์ ในหนังสือรอมแพงเขียนเองคร่าว ๆ ทางตนจึงต้องไปอ่านในหนังสือ และไปตรวจเช็กซ้ำกันในหลาย ๆ แห่ง ไม่ใช่อ่านจาก Google
ในหนังสือนั้น การะเกดเองไม่ได้เข้าไปรับรู้เรื่องการเมืองมากมายนั้น เข้าไปฟิน ๆ น่ารัก ๆ หรือเข้าไปรับรู้เรื่องการเมืองจากคำบอกเล่าของคนอื่น เพราะในสมัยนั้นไม่มีอนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไป ตนจึงตั้งใจที่จะใช้คำพูดของเกศสุรางค์ในสมัยปัจจุบัน ไปใช้ในสมัยนั้น เช่น แซ่บ โอเค เพราะในสังคม ๆ หนึ่ง ย่อมมีคนหลายประเภท ไม่ใช่ว่าย้อนไปสมัยโบราณแล้วจะมีแต่คนเรียบร้อย เกศสุรางค์จึงเหมือนคนปกติ ไม่ได้เกินเหตุจนเกินไป แค่อากัปกิริยาบางอย่างเหมือนคนสมัยใหม่เท่านั้น

เวลาที่ตนเขียนบทละครนั้น ตนเขียนเรื่องบ่าวเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าในต้นฉบับจะมีแต่นางผิน นางแย้มเท่านั้น ตอนแรก ๆ ตนอาจจะไม่เขียนเรื่องบ่าวมาก แต่พอเขียนไปเรื่อย ๆ มันก็เข้าโหมดที่ตนเขียนอย่างชำนาญ ตอนหลังเหล่าบ่าวถึงมีบทบาทมากขึ้น
บทละครเรื่องบุพเพสันนิวาสนั้น ตนใช้เวลาเขียนกว่า 2 ปี และน่าจะเป็นเรื่องที่เขียนนานที่สุด 1 ตอนอาจจะเขียน 1 เดือน เพื่อหาข้อมูลประกอบ เมื่อเขียนฉากไปเที่ยววัด ก็ต้องหาข้อมูลของวัด เขียนไปหัวฟูไป
หนังสือเรื่องบุพเพสันนิวาส คนอ่านเยอะมาก แต่การอ่านเป็นนิยายย่อมมีอรรถรสต่างกับละคร ในละครนั้นมีตั้งหลายเบรก คนดูก็อยู่ในบ้าน นั่งกินข้าว เล่นเน็ต นั่งพักผ่อน การจะดึงความสนใจจากคนเหล่านั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเมื่อเขียนแล้ว ตนจึงแก้แล้วแก้อีก ตนใช้วิธีการเขียนแล้วให้คนพิมพ์ จนคนพิมพ์เองก็ยังเบื่อ เพื่อให้มั่นใจจริง ๆ ว่าถูกต้องสมบูรณ์ เช่นกรณีของโกษาเหล็กที่ตาย เราต้องคิดว่า ทำอย่างไรให้โกษาเหล็กคิดว่า การที่เขาทำนั้นไม่ใช่การคอร์รัปชัน ไม่ใช่การ "ติดสินบน" "ค่าน้ำร้อนน้ำชา" เป็น "สินน้ำใจ" หากแต่ในความเป็นจริงนั้น นั่นคือการทุจริตบ้านเมือง อันสะท้อนออกมาให้เห็นถึงสภาพสังคมปัจจุบันที่มีการคอร์รัปชันในทุกหน่วยงาน

ในส่วนของการะเกดนั้น ในหนังสือนั้น เขียนว่าการะเกดคือคนตลก เห็นอะไรแปลกใหม่ก็ตื่นตาไปหมด แต่นั่นคือหนังสือ แล้วตนก็เอามุกตลกตรงนั้นมาใช้ ส่วนที่เหลือคือเรื่องของการแสดง พร็อพ และเพลงก็เพราะมาก
ในส่วนของพี่หมื่นศรีนั้น ตามประวัติศาสตร์แทบจะไม่มีข้อมูลเลย ทั้งที่เป็นถึงตรีทูต ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับโกษาปาน ว่าเป็นคนสง่า พูดเพราะ และไม่ค่อยพูดถึงครอบครัวเท่าไร เพราะในสมัยก่อนผู้หญิงไม่ค่อยสำคัญ อย่างโกษาปานเองมีการบอกว่ามีเมียถึง 22 คน
ในส่วนของแม่หญิงจันทร์วาด ในหนังสือนั้นจะลงเอยกับหลวงศรียศ ต้นตระกูลบุนนาค หากแต่เมื่อนำมาทำเป็นละครแล้ว ทั้งสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยระหว่างครอบครัวของโกษาเหล็ก และครอบครัวบุนนาค ซึ่งตนเป็นคนเคารพบทประพันธ์ อย่างศรีปราชญ์เองก็ไม่มีตัวตน แต่ตนก็ไม่ตัดทิ้ง เขียนมาครบ แต่ตรงไหนที่ไม่ใช่ก็ใส่มานิดหน่อย

ละครเรื่องนี้ มีคนดูเยอะ ทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่แค่ผู้หญิง คนแก่ อย่างส่วนที่เป็นการเมืองก็มีผู้ชายนดูเยอะ อย่างผู้หญิงก็ดูความน่ารัก ดูความขรึมของพี่หมื่น แต่สุดท้ายแล้ว เวลา 2 ชม. ที่ทั้งครอบครัวมาอยู่ด้วยกันนั้น ก็เหมือนเป็นการรวมหัวใจ รวมร่างของทุกคนไว้ มามีความสุขร่วมกัน
ติดตามข่าวอื่น ๆ ได้ที่ อีจัน บันเทิง


