ภาพจาก BULENT KILIC / AFP
เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ยังอยู่ในความทรงจำของคนทั่วโลก
สำหรับเหตุเครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส MH17
ซึ่งเดินทางจากกรุงอัมสเตอร์ดัม มายังกรุงกัวลาลัมเปอร์
ถูกขีปนาวุธยิงตกในแคว้นโดเนตสก์ ในประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม
2557 สังหารยกลำ 298 ชีวิต
โดยก่อนหน้านี้ทีมสอบสวนนานาชาติ จาก 5 ประเทศ ทำการสืบสวนจนได้ข้อสรุปแล้วว่า MH17 ถูกขีปนาวุธแบบบุ๊ค (Buk) ของรัสเซีย ที่ยิงออกมาจากพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครน ขณะที่ทางรัสเซียยังคงยืนกรานมาตลอดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ และไม่มีอาวุธของรัสเซียที่ถูกนำมาใช้ [อ่านข่าว : ผลสอบชี้ MH17 ถูกมิสไซล์รัสเซียยิงตก จากพื้นที่กลุ่มกบฏในยูเครน]
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด (24
พฤษภาคม 2561) สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ทีมสอบสวนร่วม
(JIT) ได้ออกมาเปิดเผยในงานแถลงข่าวที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระบุว่า
จากการวิเคราะห์ข้อมูลภาพและวิดีโอนั้นได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า
ขีปนาวุธแบบบุ๊คที่ยิง MH17 เมื่อเกือบ 4 ปีก่อนนั้น
แท้จริงแล้วมาจากกองกำลังของรัสเซีย
และยานพาหนะทั้งหมดที่ใช้ในการขนย้ายขีปนาวุธข้ามพรมแดนมายูเครนนั้น
ก็เป็นกองกำลังติดอาวุธรัสเซีย
ภาพจาก ROBIN VAN LONKHUIJSEN / ANP / AFP
โดย วิลเบิร์ต พอลิสเซน
จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเนเธอร์แลนด์ หัวหน้า JIT
ซึ่งนำทีมผู้เชี่ยวชาญจากเนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย เบลเยียม มาเลเซีย
และยูเครน มาสอบสวนคดีดังกล่าว ระบุว่า
หลังจากการศึกษาภาพถ่ายและวิดีโอทั้งหมด
ทีมสอบสวนสามารถติดตามร่องรอยขบวนขนขีปนาวุธ
จนทราบว่ามันถูกนำออกมาจากกองพลน้อยที่ 53 ของรัสเซีย ซึ่งมีกำลังพล 300
นาย อยู่ในเมืองคูสค์ ประเทศรัสเซีย
ภาพจาก DOMINIQUE FAGET / AFP
ทางด้าน เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ ยังเผยถึงข้อสรุปก่อนหน้านี้ ที่ JIT ได้เผยว่า เครื่องบิน MH17
ถูกยิงตกโดยขีปนาวุธแบบบุ๊ค ที่ผลิตในรัสเซีย ก่อนถูกนำข้ามพรมแดนเข้ามา
และยิงออกจากพื้นที่ของกลุ่มกบฏในยูเครน
แต่ในครั้งนั้นยังไม่มีการระบุอย่างชัดเจน
ว่าใครคือผู้ที่สั่งยิงขีปนาวุธดังกล่าว