แดง ศัลยา โพสต์ชี้แจงเรื่อง พรหมลิขิต ยกแรก ดราม่าตอนจบรวบรัดเกินไป บอกบทละครเหมือนนิยาย - รอมแพง โพสต์น้อมรับความผิดพลาด ทำได้ดีที่สุดเท่านี้
แม้ว่าละคร พรหมลิขิต จะจบลงไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีกระแสดราม่า และประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งประเด็นบทละครที่ต่างจากต้นฉบับนิยาย ตัวละครสำคัญบางตัวหายไป เนื้อเรื่องที่ผ่านมาค่อนข้างยืด แต่ตอนจบกลับรวบรัดจนแทบตามไม่ทัน แถมหลาย ๆ ตัวละครที่มีบทเยอะก่อนหน้านี้ก็จางหายไปเลย
ล่าสุด (22 ธันวาคม 2566) แดง ศัลยา ผู้เขียนบทละคร พรหมลิขิต ก็ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับดราม่าต่าง ๆ เกี่ยวกับละครเรื่องนี้ ประเดิมยกแรกที่ประเด็น "พรหมลิขิตตอนจบรวบรัดเกินไป" และยังเตรียมชี้แจงในประเด็นอื่น ๆ อีก โดยระบุว่า...
"พรหมลิขิต 2566 ยกที่หนึ่ง พรหมลิขิตตอนจบรวบรัดเกินไป
นิยายเขียนคำว่า "จบบริบูรณ์" หลังจากฉากแต่งงานของพ่อริดเและพุดตาน ต่อจากนั้นนิยายเขียนว่า "ตอนพิเศษ" ความยาว 4 หน้าหนังสือ
ในเมื่อเป็นตอนพิเศษ จึงไม่เพิ่มไม่ลดไม่เปลี่ยนแปลงใด ๆ บทละครจึงเหมือนนิยายทุกประการ คำว่ารวบรัดเกินไปจึงขอมอบให้ตอนพิเศษของนิยายเรื่องนี้
ยังมียกต่อ ๆ ไป
1) คาแรกเตอร์ของพ่อริด เรื่องนี้ต้องพูดกันยาว
2) คาแรกเตอร์คนอื่น ๆ : ไม่เหมือนนิยายแน่หรือ
3) ตัวละครหาย : คนเขียนบทหรือนิยายกันแน่ที่ทิ้งตัวละคร
4) เหตุการณ์พุดตานถวายตัวที่ไม่มีในนิยาย : ทำไม
5) บทอาฆาตแค้นของจันทราวดีต่ออทิตยาที่หายไป : เพราะอะไร
6) ศรีปราชญ์ : ตัวละครเจ้ากรรมตั้งแต่บุพเพสันนิวาส : มีและไม่มีเพราะอะไร
7) การเคารพบทประพันธ์และการเคารพวิถีการเขียนบทละคร : ศาสตร์ที่แตกต่างกัน
8)บทละครเหมือนนิยาย หรือต่อยอดจากนิยาย เป็นสัดส่วนเท่าไหร่ : ต้องคำนวณ
9) การวิพากษ์วิจารณ์รวบยอดที่รุนแรงและไม่เป็นวัตถุวิสัย
ฯลฯ"
โดยหลังจากนั้นไม่นาน รอมแพง ผู้เขียนนิยาย พรหมลิขิต ต้นฉบับของละครเรื่องนี้ ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...
"ขอน้อมรับความผิดพลาดของนิยายพรหมลิขิต ที่ทำได้ดีที่สุดเท่านี้ และน่าจะไม่ดีพอที่จะทำเป็นละคร จึงทำให้ทีมละครโดนวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก รวมไปถึงความอ่อนด้อยในการตอบคำถามของพิธีกรและนักข่าวก็ยิ่งสร้างลำบากใจให้กับผู้เขียนบทและทีมละครที่ทำดีที่สุดแล้ว เป็นความผิดของดิฉันเองค่ะ
หลายท่านอาจจะไม่พอใจที่ทีมทำละครโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยที่ดิฉันเหมือนลอยตัวจากการวิพากษ์นั้น จากการที่ดิฉันพิมพ์และพูดอยู่เสมอว่า หลังขายเป็นละครแล้วแทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการทำงานของทีมละครเลย นอกจากจะมีการขอคำปรึกษาจากทีมงาน และต้องให้เกียรติคนทำงาน เพราะศิลปะการนำเสนอของละครกับนิยายแตกต่างกัน ซึ่งประโยคเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดิฉันพูดมาเป็น 10 ปี ในการไปเป็นวิทยากรทุกแห่ง จากการที่นิยายได้ทำเป็นละครมาหลายเรื่อง
แน่นอนว่าดิฉันไม่มีปัญหากับการดัดแปลงเพราะเข้าใจเป็นอย่างดีในศาสตร์ที่ต่างกัน แต่อาจจะมีความเสียดายในเนื้อหาหรือคาแรกเตอร์ที่เปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ความเสียใจที่ขายเป็นละครอย่างแน่นอน
ดังนั้นแบ่งความคิดเห็นที่ตำหนิจากความผิดหวังในสิ่งที่คาดหวังจากละครมาทางดิฉันได้เลยค่ะ เพราะถ้าไม่โดนตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์เสียบ้าง ก็จะไม่ทำให้เกิดการพัฒนา ขอบคุณมากนะคะ รอมแพง"