ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก ละคร ไทยทีวีสี ช่อง 3
กสทช. เผยผู้บริหารระดับสูงช่อง 3 แจงเหตุแบนเหนือเมฆ 2 เพราะขัดมาตรา 37 ชี้ กสทช. ไม่มีหน้าที่ตรวจสอบเนื้อหา คาดช่อง 3 น่าจะพิจารณาเป็นอย่างดีแล้ว
วานนี้ (5 มกราคม) พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งเป็นฝ่ายรับผิดชอบด้านผังและเนื้อหารายการโทรทัศน์ทุกประเภท กล่าวถึงกรณีแบนละครเรื่อง เหนือเมฆ 2 กลางอากาศว่า ที่ผ่านมาช่อง 3 เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรายการไทยแลนด์ก็อดทาเลนท์มาแล้ว ในเรื่องเปลือกอกวาดภาพ ซึ่งกรณีนี้ ทางช่อง 3 ก็คงตรวจสอบและเห็นว่า ละครเรื่องเหนือเมฆ อาจจะมีบางฉากบางตอยที่ขัดต่อมาตรา 37 ก็เป็นได้ จึงให้หยุดออกอากาศทันที ซึ่งเรื่องนี้เป็นการกำกับดูแลของช่อง 3 เอง
ส่วนมาตรา 37 ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 นั้น ระบุไว้ว่า "ห้ามไม่ให้ออกอากาศเนื้อหารายการที่มีลักษณะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจารหรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง"
พล.ท.พีระพงษ์ กล่าวต่อว่า หลายคนอาจมองว่าละครเหนือเมฆ 2 เป็นละครนำดี ไม่มีการใช้คำหยาบคาย หรือตบดีใด ๆ กลับโดนแบน ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมจริง ๆ มันเป็นอย่างไร จึงพูดไม่ได้ ซึ่งการถ่ายทอดละครก็ต้องดูอะไรหลาย ๆ อย่าง ละครดีแต่ถ้าไปกระทบกับใคร ก็เข้าข่ายละเมิดและหมิ่นประมาทได้ ซึ่งช่อง 3 อาจจะตรวจสอบแล้วพบ ก็คิดว่าควรตัดออกดีกว่า เพราะอาจจะเกิดผลกระทบหรือความแตกแยกตามมา
พร้อมกันนี้ กรรมการ กสทช. ยังระบุอีกว่า ตนได้คุยกับผู้บริหารระดับสูงของช่อง 3 แล้ว ซึ่งเขาชี้แจงว่าละครเหนือเมฆ 2 ขัดต่อมาตรา 37 จึงจำเป็นที่ต้องงดออกอากาศ แต่เขาไม่ได้บอกว่าเนื้อหาส่วนไหนที่จัดกับมาตราดังกล่าว และทาง กสทช. ก็ไม่ได้มีหน้าที่ไปขอตรวจสอบเนื้อหา ซึ่งส่วนตัวคิดว่า ช่อง 3 คงพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาอย่างดีแล้ว
ส่วนข้อคำถามที่ว่า การแบนละครเรื่องนี้เป็นเพราะปมปัญหาทางการเมืองหรือไม่นั้น พล.ท.พีระพงษ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าสังคมคงมองข้ามเรื่องนี้ไปได้ แต่ตนอยากจะให้ประเทศไทยทำละครการเมืองที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองไปเลย ไม่ใช่เน้นที่ตัวบุคคล และกรณีเรื่องแบนละครนั้น ทางรัฐบาลก็ไม่มีสิทธิ์มาแทรกแซง และตนก็ไม่เห็นว่าเรื่องนี้รัฐบาลจะเข้ามายุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนท่านใด ที่ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากขาดอรรถรสในการรับชมละครเรื่อง เหนือเมฆ 2 ก็สามารถร้องเรียนมาที่ กสทช. ได้ ที่เบอร์ 1200 ซึ่ง กสทช. ก็จะทำหนังสือถึงช่อง 3 เพื่อให้ชี้แจงเหตุผลของการงดออกอากาศละครเหนือเมฆ 2 แต่ขณะนี้ยังไม่มีประชาชนร้องเรียนเข้ามา
ขณะที่ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2556 จะมีหนังสือคำสั่งไปถึงผู้บริหารช่อง 3 เพื่อขอให้ชี้แจงกรณีแบนละครเหนือเมฆ 2
ส่วนทางด้าน นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง-กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้โพสต์ข้อความ ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว @supinya แสดงความคิดเห็นส่วนตัว เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า
"ได้รับรายงานเรื่อง ระงับออกอากาศละคร เหนือเมฆ 2 ซึ่งทางกฎหมาย กสทช. คงไม่มีอำนาจสั่งให้สถานีออกอากาศหรือไม่ให้ออกอากาศละครเรื่องไหน เพราะเป็นการตัดสินใจของสถานี หากถูกแทรกแซงทางการเมืองจริงก็จะกระทบถึงเรื่องเสรีภาพ และทางช่อง 3 ก็จะเสียภาพลักษณ์มาก ทางยอมให้แทรกแซงด้วยเหตุผลที่อ่อนแอ และเป็นการเสียศักดิ์ศรีของทางสถานี
กสทช. เป็นองค์กรที่ดูแลช่อง 3 โดยตรงตามกฎหมาย มีอำนาจตามกฎหมายหากเนื้อหาละครตรงตามมาตรา 37 พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ มีเนื้อหาลักษณะล้มล้างการปกครอง กระทบความมั่นคง หรือลามกอนาจาร แม้ กสทช. จะมีอำนาจในการสั่งแบนวิทยุและโทรทัศน์ได้ แต่ทางคณะกรรมการยังไม่เคยใช้อำนาจนี้และเป็นสิ่งที่ต้องระวังในการใช้มาก
ดังนั้นเมื่อ กสทช. ไม่ได้ใช้อำนาจ แต่สื่อสั่งแบนตัวเอง สะท้อนให้เห็นว่ามีองค์กรที่สื่อกลัวกว่า กสทช. และ กสทช. ยังไม่มีบารมีพอจะคุ้มครองสื่อได้ และผู้เสียหายจะตกเป็นคนดูโทรทัศน์
แม้แต่ละครเรื่อง แรงเงา ที่ได้รับเรื่องร้องเรียนมาเป็นอย่างมาก ทางคณะกรรมการยังไม่มีแม่แต่การเตือนเพราะเป็นสิทธิเสรีภาพของสื่อ เพียงขอให้ปรับเรตติ้งให้เหมาะสมเท่านั้น ความจริงสังคมที่เป็นประชาธิปไตยและมีวุฒิภาวะ รัฐไม่ควรเข้าไปยุ่งควบคุมเนื้อหาสื่อ เว้นแต่เนื้อหาที่ผิดกฎหมายชัดเจน
ส่วนตัวดิฉันคิดว่า ช่อง 3 สั่งแบนตัวเองเพราะความกลัวมือที่มองไม่เห็น นัยหนึ่งคืออิทธิพลทางการเมืองที่ผูกพันกับสัญญาสัมปทานฯ ช่อง 3 กลัวสิ่งนั้นมากกว่า กสทช. เพราะอยู่ภายใต้ระบบสัญญาสัมปทานที่ควบคุมโดยสำนักนายกฯ ผ่านรัฐวิสาหกิจ คือ อสมท ทำให้คนไทยยังได้ดูแต่ละครเนื้อหาตบตีแย่งชิง ข่มขืน ตลกติ๊กต๊อง เพราะไม่มีใครอยากสร้างละครแนวอื่น โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง
สำหรับ สัญญาสัมปทานช่อง 3 นั้น มีปัญหามานานแล้ว อำนาจในการตรวจสอบย้อนหลังเป็นของ กสทช. ตามกฏหมาย ถ้าฝ่ายอื่นอยากมีส่วนตรวจสอบก็ทำการเปิดเผยอย่างจริงใจ เฉพาะกรณีนี้ กสทช. ควรเชิญตัวแทนจากช่อง 3 มาชี้แจงเหตุผล เพราะคงเชิญมือที่มองไม่เห็นมาอธิบายได้"
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก